top of page

Morgan's memory

  • รูปภาพนักเขียน: LALYNN
    LALYNN
  • 31 ต.ค. 2564
  • ยาว 2 นาที

original character story

คำเตือน : มีการกล่าวถึงความรุนแรง การกินเนื้อมนุษย์ แต่ไม่ได้บรรยายชัดเจน


ประตูถูกเปิดจนแสงจากข้างนอกลอดเข้ามาในห้องก่อนเศษชิ้นส่วนกระดูกจะถูกโยนสุ่ม ๆ เข้ามาแล้วประตูค่อย ๆ ปิดลง ห้องเล็ก ๆ กลับมามืดมิดอีกครั้ง ไม่มีหน้าต่างให้แสงลอดผ่าน ฝ้าเพดานเตี้ยเสียจนไม่พอให้มนุษย์ตัวใหญ่เข้ามายืนได้เต็มความสูง ทว่าท่ามกลางความมืดมิดในห้องที่เล็กราวกับกล่องกลับมีแสงสีแดงสว่างไสวขยับไปมาเป็นคลื่นที่มุม ๆ หนึ่งของห้อง ตามด้วยจุดสีเหลืองสองจุดสว่างขึ้นตัดกับสีแดง จุดสีเหลืองขยับกรอกไปมาระหว่างจุดที่แสงสาดเข้ามาในห้องตอนแรกกับเศษกระดูกที่กระจายเกลื่อนห้อง เจ้าของแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องเริ่มขยับตัว เขาเอื้อมมือเล็ก ๆ ออกไปจับเศษกระดูกที่ใกล้ตัวที่สุด หยิบขึ้นมาใกล้ปากแล้วเริ่มแทะเศษเนื้อเล็กน้อยที่ติดอยู่กับกระดูกจนหมด เขาหยิบกระดูกชิ้นใหม่แล้วเริ่มแทะ จากนั้นเหตุการณ์เดิมก็วนซ้ำอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจวัตรที่เขามักจะทำอยู่เสมอจนกว่ากระดูกเหล่านั้นจะไม่มีเศษเนื้อเหลืออยู่ หรือจนกว่าท้องเขาจะอิ่ม แต่การท้องอิ่มก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาในห้องมืด ๆ แห่งนี้เลยสักครั้ง


ผมจำไม่ได้แล้วว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่รอบตัวมักจะมีความมืดโอบล้อมตัวเขาอยู่เสมอ ผมของเขาเรืองแสงสีแดงสว่างช่วยให้มองเห็นอะไร ๆ ก็ตามที่อยู่ในห้องมืด ๆ แห่งนี้ ผมเคยพยายามที่จะออกไปจากห้อง ออกไปทางที่มักจะมีแสงจากข้างนอกสาดเข้ามาพร้อมกับเศษกระดูก แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง คนที่อยู่ข้างนอกตัวสูงใหญ่กว่าผมหลายเท่า ตราบใดที่ผมพยายามหนี คนเหล่านั้นมักจะใช้มือและเท้ากระแทกเข้ามาที่ตัวกระทั่งผมรู้สึกแย่จนทนไม่ไหว พวกเขาจึงโยนผมกลับเข้ามาในห้องก่อนแสดงสว่างจะหายไปอีกครั้ง ผมได้แต่นอนร้องครวญครางไม่เป็นภาษา อดทนกับความเจ็บปวดตามตัวในห้องมืด ๆ กับผมสีแดงสว่าง ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นหลายครั้งทำให้ผมเลิกที่จะลองหนีออกไป ผมกลับไปซุกตัวที่มุมห้อง เอามืดกอดเข่าให้แนบชิดอก นัยน์ตาสีเหลืองสว่างคอยมองไปมาก่อนจะค่อย ๆ หายไปจากความเหนื่อยอ่อน


วันนี้ข้างนอกเสียงดังผิดปกติ ไม่ใช่เสียงที่ดูราวกับมีความสุขนักหนาของพวกคนตัวใหญ่ แต่เสียงราวกับการทุบตีอย่างที่ผมเคยโดน ผมหลับตาฟังเสียงเหล่านั้นอย่างสงบ ครั้งนี้ก็คงไม่เกี่ยวกับผมเช่นเคย จนกระทั่งเสียงทุบตีเงียบลงตามด้วยพูดคุยเอะอะที่ไม่คุ้นหู เสียงเหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าห้อง ผมยกเปลือกตาอันหนักอึ้งเพื่อคอยสังเกตการณ์ว่าคนข้างนอกต้องการจะทำอะไร แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในห้องอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ได้ออกจากห้องมืดแห่งนั้นแล้วจริง ๆ ผมคิดว่าพวกเขาช่วยผมไว้ พวกเขาดูแลผมอย่างดี ทั้งรักษาแผลให้ ทั้งให้ผมกินอาหารจนรู้จักคำว่าท้องอิ่มขึ้นมาและผมสีแดงสว่างในที่สุดก็เริ่มจางลงและเลิกส่องแสงสว่าง พวกเขาสอนอะไรผมหลายอย่าง และเริ่มให้ผมลองทำอะไรหลายอย่างเช่นกัน เขาให้ผมไปส่งของตามที่ต่าง ๆ ผมถามว่าเราส่งอะไร เขาตอบว่ามันเป็นยาที่จะทำให้คนเจ็บป่วยอาการดีขึ้น ผมคิดว่าการที่ได้ส่งยารักษาแบบนี้เป็นเรื่องที่ดี เพราะการเจ็บป่วยมันรู้สึกแย่จริง ๆ นอกจากนี้เขายังให้ผมคอยไปแจ้งข่าวกับกลุ่มอื่น ๆ ที่รู้จักกัน เหมือนเขาจะไว้ใจผมนะ ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตตั้งแต่จำความได้เลย แต่กว่าผมจะตื่นขึ้นมาเห็นความจริง ผมก็ได้ตกลงไปในนรกที่พวกเขาสอนแล้ว อันที่จริงผมอาจจะอยู่ในนรกมาตั้งแต่แรก ก่อนที่พวกเขาจะมาเจอและผมก็ไม่เคยออกไปเลย ผมก็แค่ทำเป็นไม่รู้ เพราะมันคงจะดีกว่าถ้าไม่รู้


ยาที่ผมคอยส่งให้ตามบ้าน ยาที่เขาบอกเอาไว้รักษาอาการป่วยที่จริงคือยาเสพติด ผมรู้ รู้มาตั้งแต่แรกผมเห็นมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องมืด ๆ นั่น เพราะพวกเขาก็เสพยาเหล่านี้เหมือนกัน การที่ผมคอยส่งข่าวระหว่างกลุ่มในย่านสลัมที่พวกเราอาศัย ผมก็รู้มันเหมือนกับเขาคอยเทียวขายผมให้กลุ่มอื่น น่าเสียดายที่ไม่มีใครซื้อผมไปสักที นอกจากนี้เขายังสอนผมเกี่ยวกับเรื่องอะไร ๆ ด้วยนะเพื่อสนองความอยากของพวกเขาเอง ตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่าจริง ๆ ผมก็ไม่ใช่ผู้ชายเสียทีเดียว เป็นพวกสองเพศต่างหากแค่รูปลักษณ์ภายนอกผมเหมือนผู้ชายแค่นั้น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจหรอก ทว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาสอนให้อาจจะเป็นการที่บอกให้ผมทำตัวดี ๆ ไม่เป็นอันตรายกับคนอื่น เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าสายพันธุ์ของผมคืออะไร ไม่สิ ความจริงพวกเขาไม่เคยสนใจผมเลยต่างหาก เพราะแบบนั้นผมถึงทำตามที่เขาสอนอย่างดีตั้งแต่ที่ผมยอมรับความจริงตรงหน้า


กลุ่มแก๊งในย่านสลัมที่เราอาศัยมีคนมากหน้าหลายตาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป พวกเขาไม่คิดจะจำว่าใครเป็นใคร ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยความเฉพาะแบบนี้มันดีกับผมมากเลยทีเดียวทำให้จัดการอะไร ๆ ง่ายขึ้นเป็นกอง ใช้สิ่งที่เขาสอนทำตัวเป็นเด็กดี คอยตามใจ ตอบสนองความอยากของเป้าหมายคอยให้เขาตายใจ เชื่อใจจากนั้นก็จัดการ


กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ


เป็นครั้งแรกที่ผมได้ ‘อิ่มท้อง’ จากฝีมือการหาอาหารของตัวเอง มันช่างเป็นความอร่อยที่ทำให้ผมหลงใหลมัวเมาไปกับมันราวกับถูกเชื้อเชิญให้เข้าไปกินอีก จากนั้นผมก็เริ่มกิจวัตรใหม่เพิ่มเข้ามา ‘การหาอาหาร’ ไม่นานกลุ่ม ‘ผู้มีพระคุณ’ คนเริ่มบางตาลงเรื่อย ๆ แต่มีเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างหนึ่งระหว่างที่ผมทำกิจวัตรใหม่ คือ พวกเขากว่าครึ่งมีสายพันธุ์ที่เป็น ‘เหยื่อ’ ของผมแต่ผมกลับพ่ายแพ้พวกเขามาตั้งนาน คนเริ่มน้อยลงทุกทีแต่พวกเขาก็หาสาเหตุที่คนเหล่านั้นหายไปไม่ได้เสียที ไม่ได้สงสัยว่าผมจะเป็นคนก่อเหตุอะไรด้วยซ้ำ อาจจะคิดว่าไปมีเรื่องกับกลุ่มอื่น ๆ จนตกลงไปอบิสหรือถูก ‘กิน’ จากกลุ่มอื่น ๆ จากนั้นการต่อสู้ในสลัมเล็ก ๆ แห่งนี้ก็เริ่มขึ้น ผมเฝ้ามองกลุ่มผู้มีพระคุณค่อย ๆ พ่ายแพ้ไปทีละคน บางคนถูกกิน บางคนพลัดตกลงไปในอบิส ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยว่าหยาดน้ำตาใสไหลรินลงมาจากดวงตาสีเหลือง ทั้งปากก็แย้มยิ้มจนสุด ผมก็แค่มองพวกเขาจากข้างนอกจนทุกอย่างในสลัมก็เงียบไป ผมเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ แล้วนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรจนกระทั่งเสียงท้องเริ่มดังประท้วงออกมาพร้อมกับผมสีแดงสดที่เริ่มส่องแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง


“เจ้าเด็กนี่ไม่มีที่อยู่เรอะ งั้นก็มานี่กับฉันซิ” ผมได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างหลัง จากนั้นก็ล้มลงแล้วไถลไปตามพื้น เป็นเจ้าของเสียงตอนแรกที่พูดขึ้นมาแล้วคว้าคอเสื้อเก่า ๆ ผมลากไปตามทาง


“ยายแก่ ปล่อย!” ผมตะโกนลั่นให้ยายแก่แปลกหน้าหยุดลากแล้วปล่อยคอเสื้อผม


“จะปล่อยก็ได้ แต่เจ้าหนูต้องมากับยายแก่คนนี้นะ เข้าใจไหม” ยายแก่พูดแบบนั้นแล้วหันมายิ้มให้อย่างมั่นใจ


“...ก็ได้ ปล่อยสักทีสิ!” ผมตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ ยายแก่ปล่อยคอเสื้อแล้วรอผมลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เห็นผมจัดการตัวเองเรียบก็จับมือผมอย่างรู้ทันว่าผมจะหนีเธอทันที


“เอ้า ๆ จับมือยายแก่คนนี้ดี ๆ ล่ะเจ้าหนู” ยายแก่พูดแบบนั้นก่อนจะเริ่มเดินไปตามทางแคบ ๆ ผมเดินตามมือที่จับผมไว้ไม่ยอมปล่อย จนหยุดอยู่หน้าอาคารทรุดโทรมหลังหนึ่ง




‘บ้านกัลปังหา สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า’


ผมอ่านป้ายหน้าอาคารอย่างว่างเปล่า นึกไม่ออกว่าควรพูดอะไรดี


“เอ้า จากนี้เธอก็มาอยู่ที่นี้ ช่วยฉันดูแลพวกเด็ก ๆ ทีเธอน่าจะอายุเยอะสุดแล้วล่ะ” เสียงของยายแก่พูดผ่านเข้ามาในความคิด ก่อนที่ผมจะเดินตามยายแก่คนนั้นเข้าไปในอาคาร


เสียงเด็ก ๆ ดังเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วอาคาร ทางที่ผมเดินผ่านมีเด็ก ๆ คอยแอบมองมาอยู่เสมอ พอผมหันไปเด็กเหล่านั้นก็หลบหน้าผมแล้วหันไปคุยกันเบา ๆ กับเพื่อนอีกคน ผมเดินไปจนถึงห้องอาหาร ยายแก่ที่บอกว่าตัวเองดูแลที่นี้ตักข้าวให้ผม นั่งมองผมกินจนหมด ผมสีแดงกลับมาเป็นปกติ แล้วพาผมเดินไปที่ห้องของตัวเอง ไม่ใช่ห้องมืดมิดไร้แสงสว่างอย่างที่ผมเคยอยู่ แต่เป็นห้องทรงยาวแคบ ๆ แต่รู้สึกอบอุ่น หน้าต่างบานใหญ่ที่มีแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องเข้ามา ผ้าม่านสีขาวพริ้วตามลม เตียงนอนวางไว้ชิดริมขวาของห้องด้านใน โต๊ะไม้กัลปังหาวางอยู่ฝั่งซ้ายของเตียง


“พักผ่อนตามสบายล่ะ จากนี้ที่นี่เป็นบ้านของเธอแล้วนะ” เสียงของยายแก่พูดขึ้นก่อนจะปิดประตู


จากนั้นผมก็อาศัยอยู่ที่นี่เรื่อยมาเป็นปี ช่วยยายแก่ดูแลเด็ก ๆ ในสถานสงเคราะห์ แต่ละวันวุ่นวายจนผมไม่ว่างกลับไปย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา แต่ผมก็มักจะหาช่วงเวลาว่างของตัวเองในเวลาหลังอาหารเย็น ผมออกไปนอกเขตสถานสงเคราะห์ เดินไปตามทางที่เคยมาครั้งแรก ผ่านจุดที่ผมเจอกับยายแก่ เดินไปข้างหน้าจนถึงย่านสลัมเก่าที่ผมเคยอยู่ แล้วเริ่มทำกิจวัตรของผมอย่างทุกที บางครั้งก็ใช้เวลาไม่กี่วัน บางครั้งก็ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการล่อเหยื่อ แต่ผมก็ไม่ได้รีบอย่างเมื่อก่อน ก็แค่ทำกิจวัตรที่ชอบตอบสนองความอยากของตัวเองจนเคยชินเพียงเท่านั้น


จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างช่วงบ่ายที่เด็ก ๆ นอนกลางวัน สถานสงเคราะห์ช่วงที่เงียบที่สุด ก็มีเสียงดังจากนอกอาคาร ผมเหลือบตามองต้นเสียงจากหน้าต่างในห้องพัก เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ พูดเจื้อยแจ้วกับคนที่มาด้วยกัน แต่ก่อนที่ผมจะดึงสายตากลับเพื่อลงไปหายายแก่ นัยน์ตาสีแดงสุกสกาวราวกับอัญมณีก็หันมาสบตากับผมเข้าพอดี เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ้มกว้างก่อนจะโบกไม้โบกมือมาให้ผมแล้วหันไปคว้ามือคนข้างกายตัวเอง พยายามฉุดรั้งให้เดินเข้ามาในอาคารให้เร็วยิ่งขึ้น ผมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะออกจากห้องแล้วเดินลงไปข้างล่าง ดูท่าครอบครัวที่มานี้คงมารับเลี้ยงเด็กบุญธรรมสักคนตามความต้องการของเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น


เสียงของเด็กในสถานสงเคราะห์เริ่มดังขึ้นอีกครั้งเมื่อมีคนต้องการรับเลี้ยงเด็ก เสียงพูดคุยดังจนมาถึงข้างบน บางคนก็อยากถูกรับไปเลี้ยงบางคนก็กลัว สำหรับผมคงคิดว่าไม่มีใครมารับผมหรอกอีกไม่กี่ปีผมก็จะออกจากที่นี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่จะรับเลี้ยงเด็กตัวโตอย่างผมแทนที่จะเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ยังน่ารักและเชื่อคนง่าย แต่แล้วเด็กคนนั้นกลับชี้มาที่ผมทันทีที่ผมเดินไปลงถึงชั้นล่าง


“แม่คะ พ่อคะ หนูชอบพี่ชายคนนั้น” เธอชี้มาที่ผมแล้วบอกกับพ่อแม่เธออย่างนั้น สายตาของทุกคนหันมาจ้องมองที่ผมสักพักก่อนที่เสียงเด็ก ๆ ในสถานสงเคราะห์จะดังอื้ออึง


‘ทำไมเป็นพี่ได้ไปล่ะ’ ผมก็อยากถามคำถามนี้เหมือนกัน


‘ดีนะที่ไม่ใช่ผม’ งั้นผมคงโชคร้ายแล้วล่ะรอบนี้


‘ไม่เอา พี่ชายอย่าไปนะ’ ถ้าไม่ไปได้ก็คงดี


ผมตอบเด็กๆที่พูดขึ้นในความคิด เตรียมอ้าปากเอ่ยปฏิเสธ แต่สายตากลับสบเข้ากับเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังชี้หน้าผมไม่เลิก สีหน้าที่มองผมอย่างคาดหวัง ชื่นชอบ มีความสุข นัยน์ตาสีแดงราวกับอัญมณีราคาแพงบอกความในใจของเด็กหญิงตัวน้อยอย่างหมดจดจนผมใจกระตุกขึ้นมา ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนตีตื้นขึ้นมาในอกจนหายใจไม่ออก ปากที่จะเอ่ยปฏิเสธปิดลง ผมเพียงสบตากับเธออยู่แบบนั้น จนยายแก่เดินเข้ามาบอกว่าเอกสารสำหรับส่งตัวผมไปสู่บ้านใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมคิดอย่างงุนงง ทำไมยายแก่ส่งผมออกไปง่าย ๆ แบบนั้น ไม่ใช่ว่าควรถามความสมัครใจผม หรือห้ามปราบเพราะที่รับผมมานั้นต้องการคนช่วยเลี้ยงเด็กหรอกหรือ ก่อนที่จะได้เอ่ยปากถาม ยายแก่ก็พูดขัดขึ้นมา


“เอ้า คราวนี้ก็ตาเจ้าหนูที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่เสียทีนะ เธอจ้องเด็กคนนั้นอย่างกับจะกินเข้าไป คิดว่าเธอคงไม่ปฏิเสธหรอก”


“แต่....”


“คิดว่าฉันจะเก็บเธอไว้เลี้ยงพวกเด็กเล็ก ๆ จริงเรอะ? น่ารักเสียจริง ไปเถอะเธอสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ เพราะอยู่ที่นี่ต่อไปก็เปลืองข้าวขึ้นทุกที” ยายแก่พูดทิ้งท้ายอย่างติดตลกแล้วจัดการเอกสารของผมกับพ่อแม่ของเด็กน้อย


ฝ่ามือเล็กแทรกเข้ามาจับมือผมไว้ กำ ๆ บีบ ๆ เล่นแล้วหัวเราะ ผมละสายตาจากยายแก่หันมามองมือที่เด็กหญิงจับเอาไว้ แล้วเงยหน้ามองเด็กหญิงข้างตัว


“สวัสดีค่ะพี่ชาย” เธอพูดทักทายแล้วส่งรอยยิ้มน่ารักให้ จากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปจริง ๆ




สองปีต่อมา


หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่กับเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้น ผมก็รู้สึกเข้าใจคำว่าหนูตกถึงข้าวสารของยุคเก่าขึ้นมานิดหน่อย บ้านของเด็กหญิงรวยมาก พ่อกับแม่ของเธอบอกว่าเด็กน้อยคนนี้อยากมีพี่ชายก็เลยไปที่สถานสงเคราะห์แล้วรับผมมาเลี้ยง พวกเขาดูไม่กลัวว่าผมจะทำอะไรแย่ ๆ กับครอบครัวของตัวเองเลยสักนิด อีกทั้งบ้านที่ผมย้ายมากถึงจะไม่ใหญ่มากแต่ก็มีห้องเพียงพอสำหรับทุกคนในบ้าน บรรยากาศน่าอยู่ กัลปังหารายล้อมตั้งแต่ประตูรั้วหน้าบ้าน สวนถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ มีแม่บ้านคอยดูแลทำความสะอาดบ้านรวมถึงดูแลหลาย ๆ อย่างให้ผมช่วงที่ย้ายมาอยู่ด้วย


ทุกคนใจดีกับผมมาก โดยเฉพาะกับเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น เธอชอบเข้ามาหาเพื่อคุยเล่นกับผม เธอมักจะชมผมอยูเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เช่น รอยยิ้มของพี่สวยจัง พี่ชายใส่ชุดนี้แล้วดูดีจังเลย ผมของพี่นุ่มนิ่มมาก พี่ชายใจดีจัง สารพัดคำชมที่เธอพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผมมันเหมือนเธอคอยรดน้ำอุ่น ๆ สบายตัวให้อยู่เสมอเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก ไม่ทันรู้ตัวผมก็เหมือนจะติดนิสัยของเด็กหญิงคนนี้ไปบ้างเสียแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้ว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วก็ตามคือกิจวัตรของผม ผมคิดว่าคนในบ้านก็คงจะรู้ แต่กลับไม่มีสักคนที่เอ่ยปากถาม ผมจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ก็แค่ทำเหมือนอย่างทุกที


ผมต้องเข้าเรียนแล้วย้ายไปอยู่หอพัก ในวันที่ต้องเดินทางเด็กน้อยของผมดูเหมือนเธอจะไม่พอใจทีเดียวที่ต้องแยกกัน ผมหัวเราะเบา ๆ ลูบหัวเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา


“เจ้าหญิงน้อยของผม อยู่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ดี ๆ นะคะแล้วอีกสองปีค่อยมาเรียนที่เดียวกับพี่นะคะ” ผมปลอบเด็กหญิงอย่างเอ็นดู


“พี่มอร์แกนต้องกลับมาหาหนูบ่อย ๆ นะ หนูจะรีบโตแล้วไปเรียนกับพี่มอร์แกนด้วย!” เด็กหญิงเอ่ยให้ผมรับปากเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นรถโดยสาร



จากนั้นชีวิตในโรงเรียนของผมก็เริ่มต้นขึ้น

Comments


โพสต์: Blog2 Post
  • Facebook
  • Twitter

©2021 by LALYNN. Proudly created with Wix.com

bottom of page